โวหารภาพภจน์
ภาพพจน์หรือโวหารภาพพจน์ (figure of
speech) เป็นกลวิธีทางภาษาที่มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งความหมายนัยตรงและนัยแฝงเร้น
เน้นให้เกิดทั้งอรรถรสและสุนทรียรสในการสื่อสาร
อันเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งทางวรรณศิลป์
๑.ความสำคัญของภาษาภาพพจน์
ภาษาภาพพจน์ช่วยเสริมให้สำนวนโวหารดีขึ้นเกิดภาพในใจชัดเจน โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นนามธรรม จะเกิดรูปธรรมที่แจ่มชัด เช่น “ไวเหมือนปรอท
อืดเป็นเรือเกลือ
ฉันรักเธอเท่าฟ้า ขาวราวสำลี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อดเปรี้ยวไว้กินหวาน สวยเหมือนนางละคร ฯลฯ
๒.จุดประสงค์ของการใช้ภาพพจน์
๒.๑ ภาพพจน์ให้ความสำเริงอารมณ์
หมายถึงภาพพจน์บันดาลให้ผู้อ่านผู้ฟังได้ใช้ความคิดและจินตนาการ
ซึ่งอาจเปรียบได้กับการที่เราได้ก้าวออกจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวตื่นตัว ไม่เฉยชาซึมเซาในระหว่างติดตามอ่าน
ได้สังเกตพิจารณาเห็นสิ่งที่เหมือนกันและสิ่งที่ต่างกัน
ดังเช่นเราตั้งชื่อสิ่งต่างๆด้วยการเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนหรือสิ่งที่ต่าง โดยใช้การสังเกต ความคิด
และจินตนาการเทียบเคียง
๒.๒
ภาพพจน์ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้น
การใช้ภาพพจน์เป็นการช่วยผู้อ่านนึกเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าทำให้วรรณคดีเข้าสู่ประสาทสัมผัสและการรับรู้โดยตรง อาจจะโดยการได้ยิน ได้เห็น
ได้สัมผัส ฯลฯ ได้ร่วมมีประสบการณ์ จึงทำให้เข้าถึงและเข้าใจวรรณคดีเรื่องนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น
๒.๓
ภาพพจน์ให้ความเข้มข้นทางอารมณ์มากขึ้น
ด้วยการให้ความแตกต่าง
ความขัดแย้ง ความเหมือน ความผสาน
และทัศนคติที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
๒.๔
ภาพพจน์ช่วยให้กล่าวคำน้อยแต่ได้ความมาก
ทั้งนี้ด้วยลักษณะการบังคับทางฉันทลักษณ์
ที่กำหนดจำนวนคำ สัมผัส คำครุ-คำลหุ
ดังนั้นกวีจึงต้องสรรคำมาใช้ให้สามารถลงในตำแหน่งนั้นอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องได้เนื้อความหรือความหมายตามที่ต้องการด้วย เพื่อให้สามารถสื่อความและสื่ออารมณ์ได้
อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มี ความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า " เหมือน "
เช่น ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์ ปาน ประหนึ่ง เพียง เพี้ยง พ่าง ปูน ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น
ปัญญาประดุจดังอาวุธ ไพเราะกังวานปานเสียงนกร้อง ท่าทางหล่อนราวกับนางพญา จมูกเหมือนลูกชมพู่
สูงระหงทรงเพรียวเรียวลูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา สองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งดังก่งเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี (จากเรื่องระเด่นลันได)
๒. อุปลักษณ์ ( Metaphor )
อุปลักษณ์ ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบ สิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัย ให้เข้าใจเอาเอง ที่สำคัญ อุปลักษณ์จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา
ตัวอย่างเช่น
ขอเป็นเกือกทองรองบาทา ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย
ทหารเป็นรั้วของชาติ
เธอคือดอกฟ้าแต่ฉันนั้นคือหมาวัด
เธอเป็นดินหรือเธอเป็นหญ้าแท้จริงมีค่ากว่าใครนิรันดร์
ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
ครูคือแม่พิม์ของชาติ
ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง
๓. ปฏิพากย์ ( Paradox )
ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น เลวบริสุทธิ์ บาปบริสุทธิ์ สวยเป็นบ้า สวยอย่างร้ายกาจ สนุกฉิบหาย สวรรค์บนดิน ยิ่งรีบยิ่งช้า น้ำร้อนปลาเป็น
น้ำเย็นปลาตาย
๔. อติพจน์ ( Hyperbole )
อติพจน์ หรือ อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
คิดถึงใจจะขาด คอแห้งเป็นผง ร้อนตับจะแตก หนาวกระดูกจะหลุด การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า
คิดถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออก
ในกรณีที่ใช้โวหารต่ำกว่าจริงเรียกว่า "อวพจน์"
ตัวอย่างเช่น
เล็กเท่าขี้ตาแมว เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว รอสักอึดใจเดียว
๕. บุคลาธิษฐาน ( Personification )
บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต คือการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มีวิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน
หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงกิริยาอาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์
( บุคลาธิษฐาน มาจากคำว่า บุคคล + อธิษฐาน หมายถึง อธิษฐานให้กลายเป็นบุคคล )
ตัวอย่างเช่น
มองซิ..มองทะเล บางครั้งมันบ้าบิ่น
ทะเลไม่เคยหลับใหล บางครั้งยังสะอื้น เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน
กระแทกหินดังครืนครืน ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น ทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป
ฟ้าหัวเราะเยาะข้าชะตาหรือ ดินนั้นถืออภิสิทธิ์ชีวิตข้าเองไม่เกรงดินฟ้า
๖. สัญลักษณ์ ( symbol )
สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน
ไม่เรียกตรงๆ
ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป
ตัวอย่างเช่น
สีดำ
แทน
ความตาย ความชั่วร้าย
สีขาว
แทน
ความบริสุทธ
หงส์ แทน
คนชั้นสูง
กา
แทน
คนต่ำต้อย
ดอกไม แทน
ผู้หญิง
แสงสว่าง แทน
สติปัญญา
เพชร แทน
ความแข็งแกร่ง ความเป็นเลิศ
แก้ว แทน
ความดีงาม ของมีค่า
ลา แทน
คนโง่ คนน่าสงสาร
สุนัขจิ้งจอก แทน
คนเจ้าเล่ห์
๗. นามนัย ( Metonymy )
นามนัย คือการใช้คำหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง
คล้ายๆสัญลักษณ์ แต่ต่างกันตรงที่
นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าว ให้หมายถึงส่วนทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น
เมืองย่าโม
หมายถึง
จังหวัดนครราชสีมา
ทีมเสือเหลือง
หมายถึง
ทีมมาเลเซีย
ทีมสิงโตคำราม หมายถึง
อังกฤษ
เก้าอี้
หมายถึง
ตำแหน่ง
๘. สัทพจน์ ( Onematoboeia
)
สัทพจน์ หมายถึงภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ
เช่น เสียงดนตรี
เสียงสัตว์ เสียงคลื่น
เสียงลม เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล
ฯลฯ การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง
ๆ
ตัวอย่างเช่น
ลูกหมาร้องบ๊อก ๆ ๆ
ลูกหมาร้องบ๊อก ๆ ๆ
ลุกนกร้องจิ๊บๆๆ
ลูกแมวร้องเหมียว ๆ ๆ
เปรี้ยง ๆ ดังเสียงฟ้าฟาด
จงเติมความหมายหรือสิ่งที่ใช้แทนสัญลักษณ์ดังต่อไปนี้
1. กาฝาก หมายถึง ………………………2. ลอยนวล หมายถึง ……………………………….3. ขุนแผน หมายถึง ……………………………….4. เพื่อนร่วมน้ำหมึก หมายถึง ……………………………….5. น้ำขึ้นให้รีบตัก หมายถึง ………………………………. .6. ยุคไอที หมายถึง ……………………………….7. ปากว่าตาขยิบ หมายถึง ……………………………….8. ขยะสังคม หมายถึง ……………………………….9. ดอกไม้พลาสติก หมายถึง ………………………………. .10. ดอกพุทธรักษา หมายถึง ……………………………….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น